การสร้างบ้าน หรืออาคารที่แข็งแรงมั่นคงนั้น ฐานรากถือเป็นส่วนสำคัญที่สุดส่วนหนึ่ง เปรียบเสมือนรากฐานของต้นไม้ใหญ่ ที่ช่วยค้ำยันให้สิ่งก่อสร้างตั้งตระหง่านอยู่ได้อย่างยาวนาน “ตอม่อ” และ “ฟุตติ้ง” เป็นคำที่คุ้นหูกันดีในวงการก่อสร้าง ซึ่งทั้งคู่ ล้วนมีบทบาทสำคัญในการถ่ายเทน้ำหนักจากโครงสร้างส่วนบนลงสู่พื้นดิน แต่หลายคนอาจยังสับสนว่าแท้จริงแล้ว ตอม่อกับฟุตติ้งคืออะไร และมีความแตกต่างกันอย่างไร
บทความนี้ จะพาคุณไปเจาะลึกถึงความหมาย หน้าที่ ประเภท รวมถึงข้อดี-ข้อเสียของทั้งตอม่อ และฟุตติ้ง พร้อมไขข้อข้องใจให้กระจ่างถึงความแตกต่างของฐานรากทั้งสองชนิด เพื่อให้คุณเข้าใจอย่างถ่องแท้ และสามารถเลือกใช้ฐานรากได้อย่างเหมาะสมกับงานก่อสร้างของคุณ
ตอม่อ คืออะไร
ตอม่อ คือ ฐานรากชนิดหนึ่งที่ใช้ในการถ่ายเทน้ำหนักของอาคาร หรือสิ่งก่อสร้างลงสู่ชั้นดินแข็ง โดยตอม่อจะถูกฝังลึกลงไปในดินจนถึงชั้นดินที่สามารถรับน้ำหนักได้ มักใช้ในกรณีที่ชั้นดินอ่อนอยู่ลึก หรือต้องการความแข็งแรงเป็นพิเศษ เช่น อาคารสูง สะพาน เขื่อน
ลักษณะทั่วไปของตอม่อ
- มีลักษณะเป็นเสาคอนกรีตเสริมเหล็ก รูปทรงกระบอก หรือสี่เหลี่ยม
- ขนาด และความยาวของตอม่อ จะขึ้นอยู่กับน้ำหนักของสิ่งก่อสร้าง และสภาพชั้นดิน
- ฝังลึกลงไปในดินจนถึงชั้นดินแข็ง
- มักมีส่วนหัวตอม่อที่ขยายใหญ่ขึ้น เพื่อรองรับโครงสร้างส่วนบน หรือเชื่อมต่อกับคาน
หน้าที่ของตอม่อในโครงสร้าง
- รับน้ำหนัก : ตอม่อทำหน้าที่รับน้ำหนักจากโครงสร้างส่วนบน เช่น เสา คาน และถ่ายเทน้ำหนักนั้นลงสู่ชั้นดินแข็ง
- ป้องกันการทรุดตัว : ช่วยป้องกันการทรุดตัวของอาคาร โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีชั้นดินอ่อน
- เพิ่มความแข็งแรง : เสริมความแข็งแรงให้กับโครงสร้างโดยรวม ทำให้สามารถรับแรงต่างๆ ได้ดีขึ้น
ประเภทของตอม่อ
- ตอม่อเข็ม : เป็นตอม่อที่มีลักษณะเรียวยาว ใช้ในกรณีที่ชั้นดินแข็งอยู่ลึกมาก โดยตอกเข็มคอนกรีต หรือเหล็กลงไปในดินก่อน แล้วจึงเทคอนกรีตทับ
- ตอม่อแผ่ : เป็นตอม่อที่มีฐานแผ่กว้าง ใช้ในกรณีที่ชั้นดินแข็งอยู่ไม่ลึกมาก โดยจะขุดดินเป็นหลุมขนาดใหญ่ แล้วเทคอนกรีตทำฐานแผ่ก่อน จากนั้นจึงเทคอนกรีตทำตัวตอม่อ
ข้อดี-ข้อเสียของการใช้ตอม่อ
ข้อดี
- รับน้ำหนักได้มาก : สามารถรับน้ำหนักได้มาก เหมาะกับอาคารสูง หรือสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่
- ป้องกันการทรุดตัว : ช่วยป้องกันการทรุดตัวของอาคารได้ดี
- มีความแข็งแรง : เพิ่มความแข็งแรงให้กับโครงสร้าง
- ใช้งานได้หลากหลาย : สามารถใช้ได้กับสภาพพื้นที่ และชนิดของอาคารที่หลากหลาย
ข้อเสีย
- ค่าใช้จ่ายสูง : การก่อสร้างตอม่อมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง เนื่องจากต้องใช้วัสดุ และแรงงานมาก
- ก่อสร้างยาก : ต้องใช้เทคนิค และความชำนาญในการก่อสร้าง
- ใช้เวลาในการก่อสร้างนาน : การก่อสร้างตอม่อต้องใช้เวลาค่อนข้างนาน
ฟุตติ้ง คืออะไร
ฟุตติ้ง คือ ฐานรากชนิดหนึ่งที่มีลักษณะเป็นฐานแผ่ ทำหน้าที่รับน้ำหนักจากเสา และกระจายน้ำหนักนั้นลงสู่พื้นดินด้านล่าง นิยมใช้กับอาคารขนาดเล็กถึงขนาดกลาง เช่น บ้านพักอาศัย อาคารพาณิชย์ ที่ดินมีชั้นดินแข็งอยู่ไม่ลึกมาก
ลักษณะทั่วไปของฟุตติ้ง
- มีลักษณะเป็นฐานคอนกรีตเสริมเหล็ก รูปทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส สี่เหลี่ยมผืนผ้า หรือรูปทรงอื่นๆ ตามความเหมาะสม
- ขนาดของฟุตติ้งจะขึ้นอยู่กับน้ำหนักที่ต้องรับ และสภาพชั้นดิน
- มักจะวางอยู่บนชั้นดินแข็ง หรือบนฐานทรายที่บดอัดแน่น
- มีเหล็กเสริมภายใน เพื่อเพิ่มความแข็งแรง และรับแรงดึง
หน้าที่ของฟุตติ้งในโครงสร้าง
- รับน้ำหนัก : ฟุตติ้งทำหน้าที่รับน้ำหนักจากเสา และถ่ายเทน้ำหนักลงสู่พื้นดิน
- กระจายน้ำหนัก : ช่วยกระจายน้ำหนักจากเสาให้ทั่วถึงพื้นที่ดิน ลดแรงกดทับ ป้องกันการทรุดตัว
- ยึดเสา : ยึดเสาให้อยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง และมั่นคง
ประเภทของฟุตติ้ง
- ฟุตติ้งเดี่ยว : ใช้รับน้ำหนักจากเสาต้นเดียว เป็นแบบที่นิยมใช้มากที่สุด
- ฟุตติ้งต่อเนื่อง : ใช้รับน้ำหนักจากเสามากกว่า 1 ต้น เช่น เสาที่เรียงกันเป็นแถว หรือเสาที่อยู่ใกล้กันมาก
- ฟุตติ้งผสม : เป็นการรวมกันของฟุตติ้งเดี่ยว และฟุตติ้งต่อเนื่อง ใช้ในกรณีที่ต้องการความแข็งแรงเป็นพิเศษ
ข้อดี-ข้อเสียของการใช้ฟุตติ้ง
ข้อดี
- ก่อสร้างง่าย : ฟุตติ้งมีวิธีการก่อสร้างที่ค่อนข้างง่าย ไม่ซับซ้อน
- ค่าใช้จ่ายต่ำ : เมื่อเทียบกับตอม่อ ฟุตติ้งมีค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างต่ำกว่า
- ใช้เวลาในการก่อสร้างน้อย : สามารถก่อสร้างได้รวดเร็วกว่าตอม่อ
- เหมาะกับอาคารขนาดเล็ก : เหมาะสำหรับบ้านพักอาศัย อาคารพาณิชย์ หรืออาคารขนาดเล็กอื่นๆ
ข้อเสีย
- รับน้ำหนักได้น้อยกว่าตอม่อ : ไม่เหมาะกับอาคารสูง หรือสิ่งก่อสร้างที่มีน้ำหนักมาก
- ไม่เหมาะกับพื้นที่ดินอ่อน : หากชั้นดินอ่อนอยู่ลึกมาก การใช้ฟุตติ้งอาจทำให้เกิดการทรุดตัวได้
ตอม่อ กับ ฟุตติ้งต่างกันอย่างไร
แม้ว่าทั้งตอม่อ และฟุตติ้งจะทำหน้าที่เป็นฐานราก แต่ก็มีความแตกต่างกันในหลายด้าน ซึ่งส่งผลต่อการใช้งาน และความเหมาะสมกับงานก่อสร้างประเภทต่างๆ ดังนี้
เปรียบเทียบด้านรูปร่าง และขนาด
- ตอม่อ : มีลักษณะเป็นเสา รูปทรงกระบอกหรือสี่เหลี่ยม ฝังลึกลงไปในดิน ขนาดและความยาวขึ้นอยู่กับน้ำหนักที่ต้องรับ และสภาพชั้นดิน
- ฟุตติ้ง : มีลักษณะเป็นฐานแผ่ รูปทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส สี่เหลี่ยมผืนผ้า หรือรูปทรงอื่นๆ ขนาดขึ้นอยู่กับน้ำหนักที่ต้องรับ
เปรียบเทียบด้านการรับน้ำหนัก
- ตอม่อ : สามารถรับน้ำหนักได้มากกว่าฟุตติ้ง เหมาะกับอาคารสูง หรือสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ ที่ต้องการความแข็งแรงเป็นพิเศษ
- ฟุตติ้ง : รับน้ำหนักได้น้อยกว่าตอม่อ เหมาะกับอาคารขนาดเล็ก เช่น บ้านพักอาศัย อาคารพาณิชย์
เปรียบเทียบด้านวัสดุที่ใช้
- ตอม่อ : โดยทั่วไป ใช้วัสดุหลักคือ คอนกรีตเสริมเหล็ก ในบางกรณีอาจใช้เข็มเหล็ก หรือเข็มคอนกรีตอัดแรงร่วมด้วย
- ฟุตติ้ง : ใช้วัสดุหลักคือ คอนกรีตเสริมเหล็ก
เปรียบเทียบด้านความเหมาะสมในการใช้งาน
- ตอม่อ : เหมาะกับพื้นที่ที่มีชั้นดินอ่อนอยู่ลึก อาคารสูง สะพาน เขื่อน หรือสิ่งก่อสร้างที่ต้องการความแข็งแรงสูง
- ฟุตติ้ง : เหมาะกับพื้นที่ที่มีชั้นดินแข็งอยู่ไม่ลึกมาก อาคารขนาดเล็ก เช่น บ้านพักอาศัย อาคารพาณิชย์
ตารางสรุปความแตกต่าง
คอนโด | บ้านเดี่ยว | |
---|---|---|
รูปแบบ | เตี้ย (กรณีคอนโด, ตึกแถว) | สูงแบบ (ตึกแถวติดๆ กัน, ตึกแถวมีพื้นที่) |
การบังคับทิศทาง | ยาก | เลือกได้ |
วัสดุ | คอนกรีตเสริมเหล็ก, ไม้แผ่น/ คอนกรีตมวลเบา |
คอนกรีตเสริมเหล็ก |
ความทนทานของสาย | อากาศสูง, ต้นทุนน้อยสุด | อากาศปกติ, ต้นทุนน้อยได้ |
ค่าใช้จ่าย | ถูก | ค่อนข้าง |
ระยะเวลา ก่อสร้าง |
นาน | ค่อนข้าง |
หมายเหตุ : การเลือกใช้ตอม่อ หรือฟุตติ้งควรพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ เช่น สภาพพื้นที่ ชนิดของอาคาร งบประมาณ และควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้ได้ฐานรากที่เหมาะสมกับงานก่อสร้าง
การเลือกใช้ตอม่อ หรือฟุตติ้งให้เหมาะสมกับงาน
การเลือกใช้ฐานรากระหว่างตอม่อ และฟุตติ้ง เป็นขั้นตอนสำคัญที่ส่งผลต่อความแข็งแรง ความมั่นคง และอายุการใช้งานของสิ่งก่อสร้าง โดยมีปัจจัยหลายอย่างที่ต้องนำมาพิจารณาร่วมกัน เพื่อให้ได้ฐานรากที่เหมาะสมที่สุด ดังนี้
ปัจจัยที่มีผลต่อการเลือกใช้
สภาพพื้นที่ และชั้นดิน
- ชั้นดินแข็ง : หากชั้นดินแข็งอยู่ไม่ลึกจากผิวดินมากนัก สามารถเลือกใช้ฟุตติ้งได้ ซึ่งจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย และเวลาก่อสร้าง
- ชั้นดินอ่อน : หากชั้นดินอ่อนมีความหนามาก จำเป็นต้องใช้ตอม่อเพื่อถ่ายน้ำหนักลงสู่ชั้นดินแข็ง ซึ่งอยู่ลึก เพื่อป้องกันการทรุดตัวของอาคาร
- สภาพแวดล้อม : เช่น ระดับน้ำใต้ดิน ความลาดเอียงของพื้นที่ เป็นต้น ก็มีผลต่อการเลือกใช้ฐานรากเช่นกัน
ชนิดของอาคาร และน้ำหนัก
- อาคารขนาดเล็ก : เช่น บ้านพักอาศัย อาคารพาณิชย์ชั้นเดียว มักใช้ฟุตติ้ง เนื่องจากรับน้ำหนักไม่มาก
- อาคารขนาดใหญ่ : เช่น อาคารสูง โรงงาน โกดังสินค้า จำเป็นต้องใช้ตอม่อ เพื่อรองรับน้ำหนักที่มาก และเพิ่มความแข็งแรงให้กับโครงสร้าง
- ลักษณะการใช้งาน : เช่น สะพาน เขื่อน แท่นขุดเจาะ ต้องเลือกใช้ฐานรากให้เหมาะสมกับการใช้งาน และสภาพแวดล้อม
งบประมาณ
- ฟุตติ้ง : มีค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างต่ำกว่าตอม่อ
- ตอม่อ : มีค่าใช้จ่ายสูงกว่า เนื่องจากต้องใช้วัสดุ และเทคนิคการก่อสร้างที่ซับซ้อนกว่า
ระยะเวลาในการก่อสร้าง
- ฟุตติ้ง : ใช้เวลาก่อสร้างน้อยกว่าตอม่อ
- ตอม่อ : ใช้เวลาก่อสร้างนานกว่า เนื่องจากต้องมีขั้นตอนการเตรียมงาน และการเทคอนกรีตที่ซับซ้อน
คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ
- ควรปรึกษาวิศวกรโยธา หรือผู้เชี่ยวชาญด้านฐานราก เพื่อประเมินสภาพพื้นที่ และออกแบบฐานรากที่เหมาะสมกับงานก่อสร้าง
- ควรเลือกใช้ผู้รับเหมาที่มีความรู้ ความชำนาญ และประสบการณ์ในการก่อสร้างฐานราก เพื่อให้ได้งานที่มีคุณภาพ และความปลอดภัย
- ควรมีการควบคุมงานก่อสร้างอย่างใกล้ชิด เพื่อให้เป็นไปตามแบบแปลน และมาตรฐานที่กำหนด
การเลือกใช้ตอม่อ หรือฟุตติ้งให้เหมาะสมกับงาน เป็นการลงทุนที่คุ้มค่า ช่วยป้องกันปัญหาการทรุดตัว แตกร้าว และความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับสิ่งก่อสร้างในอนาคต ดังนั้น ควรพิจารณาปัจจัยต่างๆ อย่างรอบคอบ และปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้ได้ฐานรากที่แข็งแรง มั่นคง และปลอดภัย
บทสรุปความแตกต่างระหว่างตอม่อ และฟุตติ้ง
จากที่กล่าวมาทั้งหมด จะเห็นได้ว่าตอม่อ และฟุตติ้งเป็นฐานรากที่มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน ทั้งในด้านรูปร่าง ขนาด การรับน้ำหนัก วัสดุที่ใช้ และความเหมาะสมในการใช้งาน
ตอม่อ เหมาะกับงานก่อสร้างขนาดใหญ่ อาคารสูง หรือพื้นที่ที่มีชั้นดินอ่อน เนื่องจากสามารถรับน้ำหนักได้มาก และช่วยป้องกันการทรุดตัว แต่มีข้อเสียคือ ค่าใช้จ่ายสูง และใช้เวลาก่อสร้างนาน
ส่วน ฟุตติ้ง เหมาะกับงานก่อสร้างขนาดเล็ก เช่น บ้านพักอาศัย อาคารพาณิชย์ ที่ดินมีชั้นดินแข็งอยู่ไม่ลึก ข้อดีคือ ก่อสร้างง่าย ค่าใช้จ่ายต่ำ และใช้เวลาก่อสร้างน้อย แต่รับน้ำหนักได้น้อยกว่าตอม่อ
การเลือกใช้ฐานรากที่ถูกต้อง มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความมั่นคงแข็งแรงของสิ่งก่อสร้าง ตลอดจนความปลอดภัยของผู้อยู่อาศัย ดังนั้น ก่อนตัดสินใจ ควรพิจารณาปัจจัยต่างๆ เช่น สภาพพื้นที่ ชนิดของอาคาร งบประมาณ และปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้ได้ฐานรากที่เหมาะสมกับงานก่อสร้างมากที่สุด
การลงทุนกับฐานรากที่แข็งแรง เป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในระยะยาว ช่วยป้องกันปัญหาการทรุดตัว แตกร้าว ซึ่งอาจนำมาซึ่งความเสียหาย และค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมที่สูงในอนาคต